เถาเป่า กับวิธีเลือกซื้อผ้าปูที่นอนยังไงให้ดีและถูกใจคุณ
การนอนนั้น มีความสำคัญกับการใช้ชีวิตมาก เพราะเป็นการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟู ลดความเหน็ดเหนื่อยให้ร่างกาย เราใช้เวลาสำหรับการนอนไปถึง 1 ใน 3 ของช่วงชีวิตของเรา ดังนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการนอนมากๆ และอีกทั้งห้องนอนและเตียงนอน ที่ไม่ใช่แค่ว่ามีไว้เพื่อนอนอย่างเดียว เพียงแต่ต้องมีเลือกและตกแต่งเพื่อให้น่าอยู่และเหมาะกับการนอนอีกด้วย ยิ่งผ้าปูที่นอนที่เป็นเหมือนสิ่งที่ให้ความสบายแก่การพักผ่อน และยังบ่งบอกถึงตัวตนของผู้นอนได้ด้วยการเลือกผ้าปูที่นอนนั้น จึงไม่ใช่ว่าจะเลือกใช้ยังไงก็ได้ แต่ต้องเลือกให้ตรงกับความเหมาะสมของที่นอนและความชอบของตัวผู้ใช้ด้วย เพื่อที่จะให้ช่วงเวลาของการนอนพักผ่อนของเรามีความสุขและสบายที่สุด วันนี้ Weshopchina จึงจะมาบอกเทคนิคเลือกผ้าปูที่นอนให้เหมาะสมและถูกใจผู้อ่านจากเว็บเถาเป่ามาให้ดูกันค่ะ
เถาเป่า กับเทคนิคการเลือกซื้อผ้าปูที่นอน
1.เลือกขนาดผ้าปูที่นอนให้ตรงกับขนาดที่นอน
ก่อนอื่นเราก็ต้องดูว่าเตียงนอนหรือที่นอนของเรานั้น มีขนาดเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้นำไปเลือกซื้อผ้าปูที่นอนที่มีขนาดที่พอดีกับที่นอนของคุณ ซึ่งทางที่ดีเราก็ไม่ควรที่จะเลือกผ้าปูที่นอนที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่าที่นอน เพราะจะทำให้คลุมได้ไม่พอดี หากมีขนาดใหญ่เกินไปก็จะทำให้ผ้าปูที่นอนนั้นย่น ไม่เรียบตึงพอดีกับที่นอนของเรา ส่งผลต่อเวลานอนที่ทำให้นอนไม่รู้สึกสบายเท่าที่ควร วิธีที่จะสามารถกะขนาดผ้าปูได้แน่นอนที่สุดก็คือการวัดขนาดของที่นอนของเราไปให้ชัดเจนไปเลยก่อนที่จะไปเลือกซื้อผ้าปูที่นอน
ซึ่งขนาดของผ้าปูที่นอนนั้นก็จะมี 3 ขนาดใหญ่ๆด้วยกัน คือ ขนาด 3.5 X 6.5 ฟุต หรือ Single fitted sheet (42 X 78 นิ้ว), ขนาด 5 X 6.5 ฟุต หรือ Queen fitted sheet (60 X 78 นิ้ว) และ ขนาด 6 X 6.5 ฟุต หรือ King fitted sheet 72 X 78 นิ้ว โดยแบบของผ้าปูที่นอนนั้นก็จะมีแบบที่มีรัดมุม (มียางยืด) กับแบบไม่รัดมุม
2.เลือกสีและลวดลายให้เข้ากับการตกแต่ง
การเลือกลวดลายของผ้าปูที่นอนก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่ใช่ว่าจะซื้อลายไหน แบบไหนก้ได้ ขอแค่เอามาปูนอนก็พอ แต่ว่าเราควรที่จะเลือกให้เข้ากับการตกแต่งห้องและสไตล์ของเราอีกด้วย เพื่อแสดงถึงความเป็นตัวตนของเราให้มากขึ้น นอกจากนั้นการเลือกลายผ้าปูที่เข้ากับห้องนอนยังจะทำให้ห้องนอนของคุณมีความเหมาะสมเข้ากันไก้ดี และเพิ่มความน่าอยู่ของห้องให้ได้อย่างมาก
ซึ่งการแบ่งสีของผ้าปูที่นอนในลักษณะใหญ่ก็จะมี 2 แบบ คือ โทนสีอุ่น (Warm Up) และ โทนสีเย็น (Cool Out)
2.1.โทนสีอุ่น (Warm Up)
โทนสีนี้จะให้ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยและเป็นกันเอง โดยสีหลักๆก็จะมี
สีแดง: สีแดงจะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงอีกทั้งช่วยในการไหลเวียนโลหิตของเลือดได้ดีอีกด้วย ทำให้ช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า หดหู่ ไม่ให้เกิดอาการเหงาได้อีกต่างหาก
สีส้ม: สีส้มจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ห้องได้มาก อีกทั้งช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและสบายใจ เหมาะแก่การพักผ่อนได้เป็นอย่างดี หากใครเป็นคนขี้หนาวหละก็เลือกผ้าผ้าปูที่นอนสีส้มจะช่วยให้ห้องดูมีความอบอุ่นได้มากขึ้นทันที
สีเหลือง: สีเหลืองช่วยเพิ่มความสว่างและความกว้างขวางให้ห้องได้มาก โดยควรเลือกเป็นโทนสีเหลืองอ่อนๆที่ทำให้เพิ่มความสว่างและสีไม่จ้าจนเกินไป ผ้าปูสีนี้เหมาะกับผู้สูงอายุอีกด้วย
2.2.โทนสีเย็น (Cool Out)
โทนสีนี้จะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตา โดยสีหลักๆก็จะมี
สีเขียว: สีเขียวเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบ เพราะเป็นสีที่เป็นภาพแทนของธรรมชาติ เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น และยังมีผลต่อการรักษาความเจ็บป่วย ที่ช่วยให้ความรู้สึกในการเยียวยาความเจ็บป่วยได้อีกด้วย
สีฟ้า: สีฟ้าเป็นสีที่ให้ความรู้สึกดีต่อการพักผ่อน เพราะสีฟ้าทำให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการหลับยาก หากว่าใช้ผ้าปูที่นอนสีฟ้าจะช่วยทำให้นอนหลับสบายได้มากขึ้นเลย
สีม่วง: สีม่วงเป็นสีที่อยู่ระหว่างสีโทนร้อนกับสีโทนเย็น ที่ให้ความรู้สึกทั้งสดชื่นและผ่อนคลายมารวมกัน จึงเหมาะสำหรับห้องนอนของเด็กที่ให้ความสดใสและเหมาะกับวัย
2.3. สีสไตล์ Minimal
นอกจากสีโทนร้อนและโทนเย็นแล้ว ยังมีสีโทนที่กำลังเป็นที่นิยมและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบัน คือโทน Minimal ซึ่งจะเป็นโทนสีเรียบๆ ดูเรียบง่ายสบายตา เช่น สีขาวล้วน สีดำ หรือโทนอ่อนๆ โดยก็จะเลือกให้เข้ากับการตกแต่งห้องที่มักจะตกแต่งไปในแนวเรียบง่าย สบายตา ไม่รกรุงรังแต่ดูดี โดยสีในโทนนี้ก็จะเหมาะกับทุกเพศทุกวัยและเข้ากับการตกแต่งห้องห้องได้หลายแบบอีกด้วย โดยจะมีสีหลักๆ เช่น
สีดำ: สีดำจะช่วยทำให้ห้องดูมีมิติขึ้น เหมาะกับการแต่งห้องที่เรียบง่ายและมีความเป็นผู้ใหญ่ โดยจะให้ความรู้สึกขึงขัง ข้อดีคือดูแลง่าย แต่ก็จะมีข้องเสียทำให้ห้องดูมีขนาดเล็กลงเพราะสีดำเป็นสีทึบ เหมาะกับห้องที่ไม่มีของตกแต่งที่เยอะเกินไปและห้องที่มีขนาดโล่งๆ
สีขาว : สีขาวเป็นสีที่เหมาะกับผู้ใช้ทุกเพศทุกวัย และเข้ากับห้องได้แทบจะทุกๆแบบ อีกทั้งให้ความรู้สึกสะอาด สบายตา แต่มีข้อเสียตรงที่ต้องรักษความสะอาดบ่อยๆ เพราะเปื้อนง่าย
3.เลือกเนื้อผ้าและคุณภาพของผ้าปูที่นอนด้วย
โดยเนื้อผ้าและคุณภาพของผ้าปูที่นอนนั้นก็มีให้เลือกหลากหลายเนื้อผ้า อีกทั้งความหนาบาง และความละเอียดของเนื้อผ้าก็แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งอันนี้ถ้าจะบอกว่าจะให้เลือกอย่างไรก็คงจะแล้วแต่ความชอบในเนื้อสัมผัสของผ้าแต่ละชนิดของผู้ใช่ ว่าแบบไหนโดนใจที่สุด โดยเนื้อผ้าของผ้าปูที่นอนหลักๆที่จะมีให้เลือก็มักจะมีดังนั้น
ผ้าฝ้าย (Cotton)
ผ้าฝ้ายนั้นจะให้ความสบายด้วยสัมผัสที่นุ่ม ระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้ร้อน เพราะว่าเป็นเส้นใยที่มาจากธรรมชาติ ที่มีความทนทานและเหนียวไม่ขาดง่ายและก็ทำดูแลรักษาทำความสะอาดง่าย จึงได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับผู้ซื้อผ้าปูที่นอน และมีหลากหลายคุณภาพและหลายราคาให้เลือกตามแต่งบประมาณเลยทีเดียว
ผ้าฝ้ายผสมใยสังเคราะห์ (Poly-cotton)
ผ้าชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับผ้าฝ้าย เพราะว่าไม่ใช่ผ้าฝ้าย 100% แต่ผสมใยสังเคราะห์ลงไปด้วย จึงทำให้คุณภาพอาจจะไม่สู็ผ้าฝ้ายได้ และระบายอากาศได้น้อย แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเพราะมีราคาที่ถูกกว่าและมีความยับยากกว่าผ้าฝ้ายแท้ 100%
ผ้าซาติน (Satin)
ผ้าซาตินนั้นจะให้ความรู้สึกเย็นสบาย ด้วยเนื้อผ้าที่เรียบลื่นและนุ่ม เหมาะกับผู้ชอบความเย็นสบายและผิวสัมผัสนุ่มๆ ซึ่งก็อาจจะมีข้อเสียตรงที่ไม่ค่อยทนทานเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเนื้อผ้าอื่นๆ
ผ้าไหม (Silk)
ผ้าไหมเป็นผ้าที่มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าเนื้อผ้าอื่นๆ เพราะว่าทำมาจากธรรมชาติและมีขั้นตอนการทำที่มากกว่าชนิดอื่นๆ จึงทำให้มีราคาแพงกว่า แต่ก็มีข้อเสียที่อาจจะไม่ค่อยทนทานและทำความสะอาดยากไปนิดนึง
ผ้าสักหลาด (Flannel)
ผ้าชนิดนี้เป็นผ้าที่ทำมาจากขนสัตว์ผสมกับฝ้ายหรือใยสังเคราะห์ ที่จะมีเนื้อผ้าที่หนากว่าผ้าปกติ ให้ความอบอุ่นได้มากกว่าผ้าชนิดอื่นๆ แต่ป้องกันความหนาวได้ดีกว่า แต่ก็เสียก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับอากาศเมืองไทยมากสักเท่าไหร่เพราะเมืองไทยนั้นเป็นเมืองร้อนไม่ได้หนาวมากเหมือนต่างประเทศ
4.ความหนาแน่นของเนื้อผ้าก็สำคัญ
ซึ่งนอกจากชนิดและคุณภาพของเนื้อผ้าปูที่นอนที่มีความแตกต่างกันออกไปให้มาเลือกกันแล้วนี้ สิ่งที่ควรจะคำนึงถึงด้วยก็คือความหนาแน่นของเนื้อผ้าที่ทอออกมา ซึ่งความหนาแน่นนั้นก็จะส่งผลต่อราคา ยิ่งละเอียดและหนาแน่นมากก็จะยิ่งแพงขึ้นตามตัว แต่ก็แสดงถึงคุณภาพของเนื้อผ้าที่มากขึ้นอีกด้วย
ความหนาแน่นในการถักนี้ เรียกว่า Thread count ซึ่งจะเป็นตัวบอกถึงจำนวนของเส้นด้ายที่นำมาทอผ้าในขนาด ตารางนิ้ว หากมีจำนวน Thread count ที่มากขึ้นก็จะบ่งบอกถึงความหนานุ่มของเนื้อผ้าและคุณภาพของเนื้อผ้าที่สูงมากขึ้นไปด้วย โดยปกติแล้วจำนวนของเส้นด้ายในผ้าปูที่นอนส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ 180-300 เส้น โดยหากมีจำนวนเส้นด้ายที่มากกว่านั้นก็แสดงถึงคุณภาพที่ดีและความหนาแน่น รวมไปถึงความนุ่มสบายของเนื้อผ้าที่มากขึ้นด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาจากเนื้อผ้าที่นำมาถักว่าเป็นเนื้อผ้าชนิดไหน จะใช้เพียงแค่จำนวนเส้นด้ายวัดอย่างเดียวไม่ได้
5.เลือกคุณภาพให้คุ้มค่ากับราคา
อย่างที่บอกไปว่าผ้าปูที่นอนนั้นมีหลายขนาด หลายคุณภาพ หลายราคา ดังนั้นการจะเลือกซื้อก็ควรจะเลือกซื้อที่ใช้แล้วคุ้มค่า หากจะซื้อแบบที่ราคาแพงก็ควรเลือกที่มีคุณภาพดีให้สมกับราคา และทำการเปรียบเทียบลักษณะผ้า ชนิดของผ้า และราคาให้ดี อีกทั้งควรเปรียบเทียบหลายๆร้านเพื่อให้ได้ร้านที่คุ้มค่าและราคาที่ดีที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคเลือกผ้าปูที่นอนจากเถาเป่าที่จะช่วยทำให้คุณตัดสินใจเลือกผ้าปูที่นอนให้ได้แบบที่ดี ถูกใจ และเหมาะสมกับห้องนอนของคุณมากที่สุด อีกทั้งเพื่อความสุขและสบายในการนอนหลับอย่างมีความสุขกับผ้าปูที่นอนชิ้นโปรดได้อย่างไม่ยากเลย และหากใครที่สนใจจะซื้อผ้าปูที่นอนที่มีราคาถูก คุณภาพดีจากเว็บ เถาเป่า ที่นอกจากจะมีผ้าปูที่นอนแล้วยังมีสินค้าชนิดอื่นๆ และเว็บไซต์อื่นๆจากจีนให้คุณเลือกมากกว่า 1,000,000 ชิ้น โดยสั่งซื้อได้ง่ายๆ แถมยังติดตามสถานะสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย Weshopchina คือคำตอบสำหรับการสั่งซื้อและนำเข้าสินค้าจากเว็บเถาเป่า และเว็บไซต์จากจีนให้คุณ คลิกดูสินค้าจากเถาเป่า ได้เลยที่นี่!!
.
.
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก